แปะเป็นภาค 7 เลยแล้วกันครับภาคนี้จะเผยความลับที่ซ่อนอยู่้ครับ
เืพื่อนสมาชิก wrote:
global npm ต่ำลงเรื่อยๆนะครับ ส่วน hmpro ดีขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ hmpro น่าจะดีกว่า ?
ผมตอบ :
ณ ตอนนี้ อัตราส่วนทางการเงินของ HMPRO ดีกว่า GLOBAL แทบทุกตัว แน่นอนครับ
เพราะ ตอนนี้ รูปของของการขยายสาขาที่แตกต่างกัน แต่มันมีอะไรซ่้อนอยู่ครับ !
HMPRO
– จับตลาด กลา่ง-บน เน้น Home User เป็นหลัก สินค้าพวกนี้กำไรเยอะกว่าพวกสินค้าโครงสร้างครับ
เน้นพื้นที่ Premium และมีการขยายสาขาสัดส่วนเช่าในห้างเยอะ ไม่ได้ใช้เงินลงทุนมากเท่าตั้ง Stand Alone ครับ
และมีสาขามากพอที่จะทำให้กระแสเงินสด เพียงพอต่อการขยายสาขา
GLOBAL เน้นตลาด กลาง-ล่าง + ผู้รับเหมา สินค้าโครงสร้่าง Margin น้อยกว่า
แต่ได้เรื่องปริมาณมาแืทน ฉะนั้นการขยายสาขามากขึ้น จะได้ประโยชน์จาก Economy of Scale ครับ
ต่อรอง Supplier ได้เยอะขึ้น OverHead ต่อสาขาก็จะลดลง
การขยายสาขา เน้นการลงทุนบนพื้นที่ของตัวเองใน ต่างจังหวัด
ฉะนั้นการที่เจ้าของที่จะให้เช่า มันก็ได้เงินไม่เป็นก้อน เจ้าขายที่เลยเรียกราคาค่อนข้างสูง
ผบห ชั่งน้ำหนัก ทั้งแบบ ซื้อ/เช่า แล้ว ถ้าเป็นพื้่นที่ต่างจังหวัด ซื้อคุ้มกว่าในระยะยาว
และมูลค่าของที่ดินบริเวณนั้นก็จะเพิ่มขึ้นตามการพัฒนาด้วย
ณ ตอนนี้ จำนวนสาขาของ Global ยังไม่มากพอที่จะสร้างกระแสเงินสดโดยไม่พึ่งพิงการกู้ครับ
จึงมีบางส่วนต้องกู้จากธนาคาร แต่กำไรที่ได้ก็มากพอที่จะขยายตัวไปเรื่อยๆครับ
แต่เมื่อมีจำนวนสาขามากพอ มีกำไร > ขยายสาขา
ณ ตอนนั้นก็มีสิทธิ์เลือกที่จะจะลดต้น ลดดอกได้แล้ว ณ ตอนนั้น เมื่อต้นทุนทางการเงินลดไป
NPM ก็พุ่งเอาง่ายๆครับ
——————————————————————————
ไตรมาสล่าสุด Q1/55 ของ HMPRO 46 สาขา
รายได้จากการขายและหรือการให้บริการ 8,657.57
กำไร (ขาดทุน) ก่อนต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ 832.11
ต้นทุนทางการเงิน 29.19 => 3.5%
ภาษีเงินได้ 192.58
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 610.33
NPM = 610.33/8,657.57 = 7%
—————————————————————–
ของ GLOBAL 14 สาขา ณ ไตรมาสล่าสุด Q1/55
รายได้จากการขายและหรือการให้บริการ 2,506.12
ค่าเสื่อม 62.31 ล้าน
กำไร (ขาดทุน) ก่อนต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ 224.20
ต้นทุนทางการเงิน 38.24 => 17%
ภาษีเงินได้ 47.67
เหลือกำไรสุทธิ 138.28
NPM = 5.5%
ถ้าต้นทุนการเงินลดลงจาก Warrant หรือมี กองทุนสนใจลงทุน(จาก AGM มีคนขอพบ ผบห เยอะมากๆครับ )
เอาแึ้ึค่เหลือ 7 % ให้ยังต้นทุนมากกว่าเป็น 2 เท่าของ HMPROเลย
ต้นทุนทางการเงิน(ใหม่) 7%= 15.7 ล้าน
กำไรสุทธิจะ = 224.20-15.7-47.67 = 160.83
NPM ใหม่= 6.41% => +16.5%
หรือแค่ลอง บวกกลับค่าเสื่อม ไป 62.31 ล้าน โดยใ้ช้ต้นทุนการเงินเดิมนี่แหละ
กำไร (ขาดทุน) ก่อนต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ 224.20+62.31 = 286.51 ล้าน
ต้นทุนทางการเงิน 38.24 (ใช้ของเดิม)
ภาษีเงินได้ 47.67=> 66 ล้าน
เหลือกำไรสุทธิ 286.51-38.28-66 = 182.23 ล้าน (เดิม 138 ล้าน +31.8% ที่ซ่้อนอยู่)
NPM = 7.27 % !! > HMPRO ซะอีก
(แก้ไขจาก ThaiVi นะครับ เพราะ EBITDA เพิ่ม ภาษีต้องเพิ่มตามด้วย)
การคิดค่าเสื่อมทำให้ประหยัดภาษีไปได้ประมาณ 18 ล้าน!
แล้วถ้าเอา 2 ปัจจัยมาบวกกันล่ะครับ หึ หึ มันจะกระฉูดขนาดไหน
นี่แหละครับ ที่ผมพยายามจะบอก
จะเห็นว่า มีการปรับมูลค่าสินทรัพย์ทุก 3 ปี แต่ละครั้งก็ขึ้นโขเลยครับ แต่ข้อเสียคือ
ในตอนเริ่มใช้เงินลงทุนเริ่มต้นค่อนข้างมาก + ค่าเสื่อมทางบัญชีจะดูเยอะ เมื่อเปิดสาขาใหม่
ค่าเสื่อมนี่ บริษัทไม่ได้จ่ายเงินออกไปนะครับ แถมยังทำให้จ่ายภาษีน้อยลงด้วย 🙂
ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มีเงินลงทุนในบริษัทเพิ่มได้อีกครับ
เมื่อปีท้ายๆหรือครบกำหนดตัดสินทรัพย์ทางบัญชี หรือตัดน้อยลง ตัวสินทรัพย์ประเภทร้านกึ่งโกดังจะยังใช้งานอยู่
อาจะมีแค่ค่าดูแลรักษา ตอนนั้น NPM จะพุ่งเลยครับ
คล้่ายๆกับกรณีธุรกิจการเดินสาย เดินท่อ วางรากฐานในครั้งแรกๆ จะโดนค่าเสื่อมในช่วงแรกเยอะ
แต่เมื่อตัดค่าเสื่อมหมด แต่ท่อหรือโครงข่าย ยังใช้ได้อยู่ ที่เหลือก็กำไรล้วนๆครับ
แต่ถ้าเป็นเครื่องจักรในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนเทคโนโลยี ถ้าตัดค่าเสื่อมครบ
อาจบรรจบกับหมด cycle ของ product line นั้นแล้ว ถ้าจะลงทุนต่อ ก็ต้องสั่งเครื่องจักรใหม่หมด
อันนี้มีผลแน่คับ
การดูหรือเปรียบเทียบ NPM ถ้าพิจารณาองค์ประกอบเสริมของแต่ละธุรกิจด้วย จะท่ำให้เห็นภาพชัดขึ้นครับ
และภาคนี้จะเป็นเครื่องยืนยันชี้ชัดว่า ทำไม Global จึงเป็นคู่้แข่งที่หลายๆคนเริ่มจับตาไม่กระพริบ
ถึงขั้นมีการสืบเสาะกันจากคู่แข่งว่า จะไปเปิดที่สาขาไหนอีก
และตอบคำถามที่ว่า ทำไมถึงกล้าขยายสาขา มากซะขนาดนี้ แล้วทำไมธนาคารให้ปล่อยกู้ได้อีก
เพราะความจริงแล้ว อัตรากำไรสุทธิที่ซ่้อนอยู่เยอะกว่า HMPRO ซะอีัก !
@Shaen
26 พ.ค.55
ค่าเสื่อมต้องตัดในระยะเวลาลาเหมาะสมคับ
ถ้าตัดเร็วไป ไม่ตรงวืจารณญาณ สรรพากร จะใช้หักเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้คับ
ขอบคุณครับคุณ nut เห็นด้วยครับว่า จะตัดตามอำเภอใจคงไม่ได้ สรรพกรไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่
ประเด็นของผมคือ ค่าเสื่อมของโกดังสินค้าแบบ Global ที่มันไม่ได้หรูหราอะไร
พอปีหลังๆที่ค่าเสื่อมน้อยลงเพราะใกล้หมดอายุตามบัญชี
แต่สภาพจริงก็ยังใช้งานไ้ด้อยู่ อาจจะมีค่าดูแลรักษาอยู่บ้่าง ก็ไม่น่าจะมากนัก
ค้าปลีกส่วยใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
แต่ของ global จะต่างตรงที่ยังในอยู่ high capex ไปอีกหลายปี โอกาสที่จะได้ประโยชน์จริงๆจากการตัดค่าเสื่อมอีกนานเลยคับ
อาคารสิ่งปลูกสร้าง ปกติ 10 ปี แต่ global ผมไม่แน่ใจ
อีกเรื่อง คือ ไม่รู้ว่า ถ้าบำรุงรักษา ทีจะมีการแปลงมูลค่าหรือไม่
ต้องตามอีกหลายปีเลยคับ
ยังไงผมขอเกาะ คุณแชนไปด้วยละกัน 55555
อุตสาหกรรมการผลิต เรื่องค่าเสื่อมจะอยู่ใน cogs ไม่น่าคิด cross กันได้คับ
เพราะ มันเป็นเหมือน variable cost มากกว่า คับ